"ตาแห้ง" ปัญหายอดฮิตในยุคดิจิทัล และวิธีแก้ไข คำแนะนำจากจักษุแพทย์
อัพเดทล่าสุด: 9 มี.ค. 2025
11 ผู้เข้าชม
บทนำ
ในยุคสมัยแห่งเทคโนโลยี การใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ปัญหาตาแห้งจึงกลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและใกล้ตัวมากขึ้น ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่าโรคตาแห้งคืออะไร และมีวิธีการดูแลสุขภาพตาเบื้องต้นอย่างไรบ้าง เพื่อดูแลสุขภาพดวงตาของเราให้แข็งแรงและไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง
อาการของโรคตาแห้ง
อาการของภาวะตาแห้งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปผู้ที่มีตาแห้งมักจะมีอาการดังต่อไปนี้
- ระคายเคืองตา รู้สึกแสบตา หรือไม่สบายตา
- ตาฝืด รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา
- ตาแดง จากการอักเสบของเยื่อบุตา
- น้ำตาไหลมาก ซึ่งอาจฟังดูขัดกับความเข้าใจ แต่ภาวะตาแห้งอาจกระตุ้นให้ต่อมน้ำตาเกิดการสร้างน้ำตามากขึ้น เพื่อพยายามบรรเทาความแห้งนั่นเอง
สาเหตุของโรคตาแห้ง
สาเหตุของตาแห้งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประการหลักๆ ได้แก่
1. น้ำตาระเหยออกไปเร็วเกินไป
การที่น้ำตาระเหยออกจากตาเร็วเกินไป เป็นเหตุผลหลักของตาแห้งที่พบกันทั่วไป สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการระเหยของน้ำตาที่เร็วเกินไป เช่น การจ้องจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน เมื่อเรามีจดจ่อกับการอ่าน หรือดูหน้าจอต่างๆ ทำให้มีกะพริบตาน้อยลงโดยอัตโนมัติ เมื่อเรากะพริบตาน้อยลง ก็จะทำให้น้ำตาระเหยออกสู่อากาศได้มากหรือการโดนลมพัดเข้าตา เช่น การขี่มอเตอร์ไซค์โดยไม่สวมแว่น หรือการนั่งทำงานโดยมีแอร์หรือพัดลมที่เป่าลมเข้าบริเวณใบหน้า ก็จะทำให้น้ำตาระเหยออกไปมากขึ้นเช่นเดียวกัน
2. การสร้างน้ำตาที่น้อยลง
2. การสร้างน้ำตาที่น้อยลง
การสร้างน้ำตาที่ไม่เพียงพออาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เช่น อายุที่มากขึ้น หรือการมีโรคบางชนิดที่ส่งผลต่อการทำงานของต่อมน้ำตา เช่น โรคแพ้ภูมิตนเอง ไทรอยด์ขึ้นตา หรือการใช้ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการตาแห้ง เป็นต้น
คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีตาแห้ง
1. พักสายตา
เมื่อต้องใช้สายตาต่อเนื่อง เช่น การดูโทรศัพท์มือถือหรือการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาเป็นระยะๆ เพื่อให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย คำแนะนำที่จำได้ง่าย คือทุกๆ 20 นาทีที่ใช้สายตา ให้มองไปที่วัตถุห่างจากตัวประมาณ 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) นาน 20 วินาที
2. หลีกเลี่ยงฝุ่นและควัน
ควันรถ ควันบุหรี่ หรือฝุ่นที่ลอยเข้าตาจะทำให้ดวงตาระคายเคือง การอักเสบที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ผิวตาแห้งมากขึ้น ควรสวมแว่นตาป้องกันและหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีควัน
3. หลีกเลี่ยงการโดนลมปะทะที่ใบหน้า
การที่ลมพัดเข้ามาตรงๆ ที่ใบหน้าและดวงตาจะทำให้น้ำตาระเหยออกเร็วขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการเปิดแอร์หรือพัดลมที่เป่าลมเข้าบริเวณหน้า หรือใส่แว่นตาป้องกันลมเวลาขี่มอเตอร์ไซค์
4. ตั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่ำกว่าระดับสายตา
การตั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตต่ำกว่าระดับสายตาจะช่วยลดการเปิดตากว้างเกินไปในขณะที่มองจอ สามารถช่วยลดการระเหยของน้ำตาได้
5. หยอดน้ำตาเทียม
การใช้น้ำตาเทียมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา โดยเฉพาะในผู้ที่ทำงานหน้าจอเป็นเวลานาน
6. ควบคุมสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน
เช่น การตั้งค่าแสงที่ใช้ในการทำงานให้เหมาะสม ไม่ใช้แสงหน้าจอที่สว่างเกินไป
7. รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของ omega-3
เชื่อว่ากรดไขมันดี เช่น omega-3 ที่พบมากในน้ำมันตับปลา สามารถช่วยป้องกันการเกิดภาวะตาแห้งได้
8. ปรึกษาจักษุแพทย์
หากได้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว แต่ยังมีอาการตาแห้งอย่างต่อเนื่อง ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจประเมินและรับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากในบางกรณี อาการตาแห้งอาจเป็นผลที่ตามมาที่เกิดจากโรคตา หรือโรคทางกายอื่นๆ ซึ่งการรักษาก็จะแตกต่างกันไปตามสาเหตุของโรค
สำหรับอาการตาแห้ง แพทย์อาจทำการรักษาด้วยยาหยอดตา เช่น ยาที่ช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำตา หรือยาหยอดลดการอักเสบ หรืออาจทำหัตถการ เช่น การใส่ซิลิโคนอุดท่อน้ำตา เพื่อลดการระบายของน้ำตาออกจากผิวตาครับ
เมื่อต้องใช้สายตาต่อเนื่อง เช่น การดูโทรศัพท์มือถือหรือการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาเป็นระยะๆ เพื่อให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย คำแนะนำที่จำได้ง่าย คือทุกๆ 20 นาทีที่ใช้สายตา ให้มองไปที่วัตถุห่างจากตัวประมาณ 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) นาน 20 วินาที
2. หลีกเลี่ยงฝุ่นและควัน
ควันรถ ควันบุหรี่ หรือฝุ่นที่ลอยเข้าตาจะทำให้ดวงตาระคายเคือง การอักเสบที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ผิวตาแห้งมากขึ้น ควรสวมแว่นตาป้องกันและหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีควัน
3. หลีกเลี่ยงการโดนลมปะทะที่ใบหน้า
การที่ลมพัดเข้ามาตรงๆ ที่ใบหน้าและดวงตาจะทำให้น้ำตาระเหยออกเร็วขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการเปิดแอร์หรือพัดลมที่เป่าลมเข้าบริเวณหน้า หรือใส่แว่นตาป้องกันลมเวลาขี่มอเตอร์ไซค์
4. ตั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่ำกว่าระดับสายตา
การตั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตต่ำกว่าระดับสายตาจะช่วยลดการเปิดตากว้างเกินไปในขณะที่มองจอ สามารถช่วยลดการระเหยของน้ำตาได้
5. หยอดน้ำตาเทียม
การใช้น้ำตาเทียมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา โดยเฉพาะในผู้ที่ทำงานหน้าจอเป็นเวลานาน
6. ควบคุมสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน
เช่น การตั้งค่าแสงที่ใช้ในการทำงานให้เหมาะสม ไม่ใช้แสงหน้าจอที่สว่างเกินไป
7. รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของ omega-3
เชื่อว่ากรดไขมันดี เช่น omega-3 ที่พบมากในน้ำมันตับปลา สามารถช่วยป้องกันการเกิดภาวะตาแห้งได้
8. ปรึกษาจักษุแพทย์
หากได้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว แต่ยังมีอาการตาแห้งอย่างต่อเนื่อง ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจประเมินและรับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากในบางกรณี อาการตาแห้งอาจเป็นผลที่ตามมาที่เกิดจากโรคตา หรือโรคทางกายอื่นๆ ซึ่งการรักษาก็จะแตกต่างกันไปตามสาเหตุของโรค
สำหรับอาการตาแห้ง แพทย์อาจทำการรักษาด้วยยาหยอดตา เช่น ยาที่ช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำตา หรือยาหยอดลดการอักเสบ หรืออาจทำหัตถการ เช่น การใส่ซิลิโคนอุดท่อน้ำตา เพื่อลดการระบายของน้ำตาออกจากผิวตาครับ
ถ้าบทความมีประโยชน์ สามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้อ่าน โดยการกด share ไปยัง social media ต่างๆ กันได้ครับ